กอดคำพิพากษา: เมื่อคำพิพากษาไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจบ

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ในกระบวนการทางกฎหมาย คำพิพากษาถือเป็นการตัดสินสุดท้ายของศาลที่มีผลผูกพันทั้งสองฝ่ายในคดี หลายคนอาจเข้าใจว่าการได้รับคำพิพากษาชนะคดีแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลงทันที แต่ในความเป็นจริง คำพิพากษาไม่ใช่การทำให้ทุกอย่างสิ้นสุดทันที โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องทรัพย์สินหรือเงินที่ต้องนำไปใช้ในกระบวนการบังคับคดีและการสืบทรัพย์ ถึงแม้จะได้รับคำพิพากษาแล้ว ผู้ชนะคดียังอาจต้องเผชิญกับกระบวนการบังคับคดีซึ่งอาจใช้เวลานานและซับซ้อน

อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี ผู้ชนะคดีไม่จำเป็นต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไป แม้ว่าจะได้รับคำพิพากษาแล้วก็ตาม ขึ้นอยู่กับสภาพและการดำเนินการหลังจากคำพิพากษาถูกตัดสิน

1. กระบวนการบังคับคดี: การสืบทรัพย์และการหาทรัพย์สินที่สามารถนำมาบังคับคดี

แม้ว่าในหลายกรณีผู้ชนะคดีจะได้รับคำพิพากษาชนะแล้ว แต่กระบวนการบังคับคดีและการสืบทรัพย์ยังคงเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้คำพิพากษามีผลจริง ผู้ชนะคดีจะต้องดำเนินการ “บังคับคดี” ซึ่งคือกระบวนการตามคำพิพากษาให้เป็นจริง โดยการ “สืบทรัพย์” เพื่อค้นหาทรัพย์สินที่สามารถนำมาบังคับคดีได้

การสืบทรัพย์ คือการตรวจสอบว่า ผู้แพ้คดีมีทรัพย์สินใดบ้างที่สามารถใช้เป็นการชำระหนี้หรือจ่ายตามคำพิพากษา ซึ่งสามารถรวมถึงบัญชีธนาคาร, ที่ดิน, บ้าน, หรือทรัพย์สินอื่น ๆ ที่มีมูลค่า ผู้ชนะคดีสามารถขอให้ศาลหรือเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือในการสืบหาทรัพย์สินเหล่านี้

ความท้าทายในการบังคับคดี คือ ผู้แพ้คดีบางครั้งอาจพยายามหลบเลี่ยงหรือซ่อนทรัพย์สินที่สามารถใช้ในการชำระหนี้ เช่น การโอนทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่น หรืออาจจะหลบหนีไปยังสถานที่ที่ไม่สามารถค้นพบได้ง่าย ดังนั้น การบังคับคดีจึงต้องใช้กระบวนการที่มีความซับซ้อนและอาจยืดเยื้อไปหลายปีในบางกรณี

2. เมื่อผู้แพ้คดีชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยสมัครใจ

หลังจากการตัดสินของศาล ผู้แพ้คดีอาจเลือกที่จะชำระหนี้หรือปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยสมัครใจ ตัวอย่างเช่น หากคำพิพากษาสั่งให้ผู้แพ้คดีชำระเงินจำนวนหนึ่ง ผู้แพ้คดีอาจตัดสินใจที่จะชำระหนี้ตามกำหนดในคำพิพากษา โดยไม่ต้องรอการบังคับคดีให้เกิดขึ้นค่ะ

กรณีนี้เป็นสถานการณ์ที่ถือว่าผู้ชนะคดีได้รับสิทธิ์ตามคำพิพากษาโดยไม่มีปัญหาหรือข้อขัดแย้งเพิ่มเติม ผู้ชนะคดีก็ไม่ต้องดำเนินการบังคับคดีต่อค่ะ

3. การอุทธรณ์คำพิพากษาของผู้แพ้คดี

หากผู้แพ้คดีมีความเห็นไม่ตรงกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ผู้แพ้คดีอาจยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา โดยการอุทธรณ์นี้จะทำให้กระบวนการบังคับคดีถูกระงับไปจนกว่าศาลอุทธรณ์จะพิจารณาคำอุทธรณ์และมีคำพิพากษาใหม่ ถ้าผู้แพ้คดีอุทธรณ์สำเร็จ และคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ให้คำตัดสินในทางที่แตกต่างไปจากคำพิพากษาชั้นต้น ก็อาจทำให้กระบวนการบังคับคดีไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามคำพิพากษาชั้นต้นที่ได้รับมาก่อนหน้า

ในกรณีนี้ ผู้ชนะคดีต้องรอให้กระบวนการทางกฎหมายเสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งการอุทธรณ์ไม่เพียงแค่ทำให้กระบวนการบังคับคดีชะลอไป แต่ยังอาจเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาในกรณีที่ศาลอุทธรณ์เห็นชอบในข้อโต้แย้งของผู้แพ้คดี

4. การตกลงระหว่างคู่กรณี (การไกล่เกลี่ยหรือเจรจา)

กรณีที่คดีถึงศาลแล้วแต่ยังมีความตั้งใจในการหาทางออกโดยการเจรจาหรือไกล่เกลี่ย ระหว่างคู่กรณีอาจจะมีการตกลงกันเพื่อชำระหนี้หรือจัดการกับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่ตกลงร่วมกัน หากมีการตกลงชำระหนี้โดยยินยอมในลักษณะต่างๆ เช่น การชำระเป็นงวดหรือการให้ทรัพย์สินที่มีมูลค่าเท่ากับหนี้ ผู้ชนะคดีอาจเลือกที่จะยุติกระบวนการบังคับคดีได้

นอกจากนี้ การตกลงผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยที่ศาลจัดให้ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้การบังคับคดีไม่จำเป็นต้องดำเนินต่อไป หากทั้งสองฝ่ายสามารถหาข้อตกลงได้

5. การมีประกันภัยที่ครอบคลุมการชดใช้หนี้

ในบางกรณีที่คำพิพากษาเกี่ยวข้องกับการชำระค่าเสียหายจากเหตุการณ์ที่สามารถประกันภัยได้ เช่น ความรับผิดจากการทำธุรกิจ หรืออุบัติเหตุ ผู้ชนะคดีอาจได้รับการชดใช้หนี้จากบริษัทประกันภัยที่ครอบคลุมความรับผิดในคดีดังกล่าว หากการชดใช้หนี้ได้ดำเนินการตามคำพิพากษาแล้ว ผู้ชนะคดีจะไม่ต้องทำการบังคับคดีเอง

เช่น หากผู้แพ้คดีเป็นบริษัทที่มีการประกันความรับผิดอยู่ บริษัทประกันภัยอาจรับผิดชอบในการชำระเงินตามคำพิพากษาให้แก่ผู้ชนะคดีโดยตรง ซึ่งทำให้กระบวนการบังคับคดีไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นค่ะ

6. การชำระหนี้หรือทรัพย์สินจากการฟ้องร้องในคดีอื่น

อีกกรณีหนึ่งที่ทำให้กระบวนการบังคับคดีไม่จำเป็นต้องดำเนินการคือ หากผู้แพ้คดีได้ชำระหนี้จากการฟ้องร้องในคดีอื่นหรือจากการที่ทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงใหม่ในภายหลัง โดยการชดใช้หนี้ในรูปแบบที่สามารถตกลงกันได้ การตกลงดังกล่าวอาจทำให้ผู้ชนะคดีไม่ต้องดำเนินการบังคับคดีเพิ่มเติมค่ะ

7. กรณีที่ผู้แพ้คดีได้ดำเนินการตามคำพิพากษาแล้วโดยการโอนทรัพย์สินหรือเงิน

ในบางกรณีที่คำพิพากษาสั่งให้ผู้แพ้คดีชำระหนี้โดยการโอนทรัพย์สินหรือเงิน ผู้แพ้คดีอาจได้ทำการโอนทรัพย์สินหรือเงินให้กับผู้ชนะคดีแล้วภายในเวลาที่กำหนด โดยที่ไม่ต้องมีการบังคับคดีเพิ่มเติมค่ะ

หากการโอนทรัพย์สินหรือเงินนั้นได้รับการยอมรับจากผู้ชนะคดี ผู้ชนะคดีก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไปนะคะ

ในมุมมองของหนิง คำพิพากษา คือ การตัดสินผลของคดีในเชิงกฎหมาย แต่ไม่ใช่การทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลง การบังคับคดีและการสืบทรัพย์ยังคงเป็นกระบวนการที่ผู้ชนะคดีต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือเงินตามคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่ผู้แพ้คดีมีการชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยสมัครใจ หรือมีการเจรจาตกลงกันระหว่างคู่กรณี หรือแม้กระทั่งการชดใช้หนี้ผ่านการประกันภัย ก็อาจทำให้ผู้ชนะคดีไม่จำเป็นต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไปค่ะ

หนิง นันทิชา


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

Bloggers

About หนิง นันทิชา
นักกฎหมาย(ยัง)สาว ด้าน Commercial Law ชำนาญการตรวจสอบสัญญาธุรกิจ ศึกษาเรื่องการบริหารทรัพย์สินทางปัญญาให้เกิดมูลค่าเชิงพาณิชย์นานนับ 10 ปี รักในการถ่ายทอดความรู้เทคนิคการอ่านการตีความเงื่อนไขทางธุรกิจให้กับกลุ่มคนที่ไม่ใช่นักกฎหมาย เคยทำงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาในมหาวิทยาลัยรัฐและปัจจุบันดูแลงานกฎหมายในบริษัทมหาชน นันทิชาเป็นศิษย์เก่า Queen Mary, University of London (QMUL) School of Law สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท LLM สาขา Intellectual Property Law และ LLM with Merit สาขา Tax Law และเนติบัณฑิตไทย