“ค่าบริการ รปภ. ปรับขึ้นทุกปี?” ข้อกฎหมายที่ผู้ว่าจ้างต้องรู้ก่อนเซ็นสัญญา
ในปัจจุบัน การว่าจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถานประกอบการต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ในการทำสัญญาจ้างบริการดังกล่าว มักพบเงื่อนไขที่กำหนดให้ผู้ว่าจ้างต้องยอมรับการปรับขึ้นค่าบริการอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของค่าแรงขั้นต่ำที่ภาครัฐกำหนด แม้ว่าค่าบริการ รปภ. ที่ตกลงกันในสัญญาจะสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้วก็ตาม บทความนี้จะกล่าวถึงข้อพิจารณาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และแนวทางในการเจรจาเงื่อนไขดังกล่าวให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย
ข้อพิจารณาทางกฎหมายเกี่ยวกับเงื่อนไขการปรับค่าจ้าง
หลักเสรีภาพในสัญญาสัญญาระหว่างผู้ว่าจ้างและบริษัท รปภ. ถือเป็นสัญญาตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งคู่สัญญามีอิสระในการกำหนดข้อตกลงตามที่เห็นสมควร อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขที่ให้บริษัท รปภ. สามารถปรับค่าจ้างได้โดยอัตโนมัติอาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้ว่าจ้าง
หลักการตีความสัญญาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 กำหนดให้การตีความสัญญาต้องคำนึงถึงเจตนาของคู่สัญญาเป็นสำคัญ หากบริษัท รปภ. ตีความว่าผู้ว่าจ้างต้องยอมรับการปรับขึ้นค่าบริการในทุกกรณีโดยไม่มีเงื่อนไข อาจนำไปสู่ข้อพิพาทเกี่ยวกับความเป็นธรรมของสัญญาได้
พรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 แม้สัญญาบริการรักษาความปลอดภัยจะไม่ใช่สินค้าควบคุมโดยตรง แต่หากมีการปรับค่าบริการในอัตราที่สูงโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อาจถูกตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
แนวทางการเจรจาเงื่อนไขในสัญญา
กำหนดวิธีการคำนวณการปรับค่าบริการที่ชัดเจนผู้ว่าจ้างควรต่อรองให้มีการระบุวิธีคำนวณการปรับค่าจ้างอย่างชัดเจน เช่น การเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำจะมีผลต่อค่าบริการในสัดส่วนเท่าใด หรือกำหนดให้การปรับขึ้นต้องอยู่ภายในเพดานที่ตกลงกันไว้
เงื่อนไขให้มีการเจรจาใหม่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงค่าแรงขั้นต่ำแทนที่จะให้บริษัท รปภ. มีอำนาจปรับขึ้นค่าบริการฝ่ายเดียว ควรกำหนดให้การปรับขึ้นต้องผ่านความยินยอมหรือความตกลงร่วมกันก่อน โดยอาจกำหนดระยะเวลาในการแจ้งล่วงหน้า เช่น 30-60 วัน
กำหนดค่าบริการแบบคงที่ (Fixed Price) ในระยะเวลาที่กำหนดผู้ว่าจ้างสามารถเจรจาให้ค่าบริการคงที่ในระยะเวลาหนึ่ง เช่น 1-3 ปี และหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่ตกลงกันเท่านั้น
เงื่อนไขการยกเลิกสัญญาในกรณีที่มีการปรับค่าบริการโดยไม่เป็นธรรมผู้ว่าจ้างควรกำหนดสิทธิในการบอกเลิกสัญญาหากบริษัท รปภ. มีการปรับค่าบริการในอัตราที่สูงเกินสมควร หรือไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
กล่าวโดยสรุป แม้ว่าการปรับขึ้นค่าบริการ รปภ. ตามค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นเงื่อนไขที่พบได้ทั่วไปในสัญญาจ้างบริการ แต่ผู้ว่าจ้างควรพิจารณาเงื่อนไขดังกล่าวอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการกำหนดขอบเขตและวิธีคำนวณค่าบริการให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความไม่เป็นธรรมที่อาจเกิดขึ้น การเจรจาเงื่อนไขในสัญญาให้เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่ายจะช่วยลดความเสี่ยงของข้อพิพาท และทำให้การบริหารจัดการบริการรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น