ตัดสิน หรือ ตัดจบ? ศาลแรงงาน: พื้นที่ไกล่เกลี่ยแทนที่จะพิพากษา?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีแรงงาน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงบรรยากาศในศาลแรงงานที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากเวทีพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กลายเป็นพื้นที่แห่งการไกล่เกลี่ยที่แทบจะเป็นขั้นตอนหลักของกระบวนการ
ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป หากคดีแรงงานจะจบลงโดยที่ยังไม่ทันได้นำสืบหรือมีการไต่สวนใด ๆ เพียงแค่ผ่านการนัดแรก ๆ ก็อาจได้ข้อยุติแล้วในห้องไกล่เกลี่ย
หลายคนตั้งคำถามในใจ (แต่ไม่พูดออกมา) ว่า นี่คือความพยายามลดภาระของศาล หรือเป็นแนวทางที่สมควรแล้วในคดีแรงงานที่มักมีมูลค่าคดีไม่สูง?
บางคนกระซิบแรง ๆ ว่า เป็นเพราะผู้พิพากษาเองก็อยาก “เคลียร์แฟ้ม” ให้เร็ว — เรื่องนี้ไม่มีคำตอบชัดเจน แต่อาการมันฟ้องอยู่ในสถิติที่ว่า คดีแรงงานจำนวนไม่น้อยจบลงด้วยคำพิพากษาตามยอม
“ผู้พิพากษาท่านขี้เกียจหรือเปล่า?”
คำถามนี้อาจผุดขึ้นในใจของใครหลายคนเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ แต่หากมองให้รอบด้าน คงพูดไม่ได้เต็มปากว่าศาล “อยากจบไวเพราะไม่อยากทำงาน” พูดแบบเดาล้วน ๆ อาจเป็นเพราะเบื้องหลังศาลแรงงานไทยมีแรงกดดันระดับระบบ เช่น คดีแรงงานเป็นคดีปริมาณมาก มีลักษณะซ้ำกันจำนวนไม่น้อย เป้าหมายในการลด backlog และเคลียร์คดีให้เร็ว ทัศนคติในแวดวงตุลาการแรงงานที่เห็นว่า คดีลักษณะนี้ “ไม่ควรตัดสินด้วยกฎหมายล้วน ๆ” แต่ควรใช้ความเห็นใจ และความยืดหยุ่น ทำให้ผู้พิพากษาหลายท่านจึงอาจมองว่าการ “ให้คู่ความตกลงกันได้” คือยุติธรรมรูปแบบหนึ่ง และในบางคดี ก็เป็นทางออกที่เหมาะสมด้วยซ้ำ
เมื่อไกล่เกลี่ยกลายเป็น “เนื้อหา” ของคดี
การไกล่เกลี่ยในศาลแรงงานมีข้อดีชัดเจนหลายประการ — ช่วยให้คู่กรณีไม่ต้องเสียเวลายืดเยื้อ ได้ข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ และจบเรื่องด้วยความสมัครใจมากกว่าคำตัดสินจากศาลที่อาจไม่ถูกใจใครเลย
แต่สิ่งที่น่าคิดคือ เมื่อการไกล่เกลี่ยกลายเป็น “เนื้อหาแทบทั้งหมดของคดี” มากกว่าจะเป็นแค่ “ทางเลือกหนึ่ง” กระบวนการยุติธรรมกำลังเปลี่ยนรูปไปหรือไม่?
โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายลูกจ้างมีข้อเรียกร้องตามสิทธิแรงงานที่กฎหมายคุ้มครอง เช่น การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หรือการไม่ได้รับค่าชดเชย หากยังไม่ได้พิจารณาพยานหลักฐานให้รอบด้าน แล้วเร่งจบที่การไกล่เกลี่ย อาจมีความเสี่ยงที่สิทธิของลูกจ้างจะถูก “ลดทอน” โดยไม่รู้ตัว
หรือการไกล่เกลี่ยคือความยุติธรรมที่ “จับต้องได้”?
ในอีกด้านหนึ่ง ต้องยอมรับว่า ลูกจ้างจำนวนมากไม่ได้มองคดีแรงงานว่าเป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี หรือเพื่อสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมาย — พวกเขาแค่อยากได้เงินกลับบ้านโดยไม่ต้องลากยาวไปหลายเดือนหรือหลายปี
บางคนใส่ยอดเงินเรียกร้องในคำฟ้องแบบเผื่อไว้เต็มที่ แล้วมาปิดจบที่ตัวเลขที่ตนเองรับได้
หลายคนยินดีจะยอมความ ถ้าได้เงินเร็ว และไม่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของกระบวนการ
ในแง่นี้ การไกล่เกลี่ยก็อาจไม่ใช่ “การลดทอนสิทธิ” เสมอไป แต่อาจเป็น การเลือกทางออกอย่างเป็นจริง ของคนที่มีต้นทุนชีวิตจำกัด
สุดท้าย: ระบบที่เร่งจบ กับความยุติธรรมที่ควรได้
สิ่งที่ควรถามไม่ใช่เพียงว่า “ศาลไกล่เกลี่ยมากไปไหม” แต่อาจต้องถามต่อว่า
ระบบกระบวนการยุติธรรมของเรารองรับความหลากหลายของคดีแรงงานจริงหรือเปล่า?
บางคดีอาจเหมาะกับการเจรจา แต่บางเรื่องก็สมควรให้ศาลได้วินิจฉัยอย่างเต็มกระบวนความ ไม่ใช่เพียงเพื่อคู่ความเท่านั้น แต่เพื่อสร้างแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในสังคมแรงงานที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อศาลแรงงานกลายเป็นพื้นที่ที่เน้นการจบเร็วมากกว่าการตัดสินถูกผิดอย่างละเอียด ก็อาจถึงเวลาที่ทุกฝ่ายควรถามตรง ๆ ว่า — เรายังต้องการศาลในฐานะผู้วินิจฉัยอยู่ไหม หรือแค่ต้องการผู้ไกล่เกลี่ยที่มีอำนาจบังคับ?
ไกรวัล