ระงับข้อพิพาท: ศาลหรืออนุญาโตตุลาการ? ทางเลือกที่ต้องคิดให้รอบด้าน
ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อต้องทำสัญญาที่มีมูลค่าสูง หรือมีคู่สัญญาที่อยู่ต่างประเทศ คำถามหนึ่งที่มักเกิดขึ้นเสมอ ก็คือ “หากเกิดข้อพิพาทขึ้น เราจะใช้ศาล หรืออนุญาโตตุลาการดี?” คำถามนี้ดูเหมือนจะเล็กน้อยในตอนร่างสัญญา แต่เมื่อเกิดข้อขัดแย้งขึ้นจริง การเลือกกระบวนการระงับข้อพิพาทสามารถเป็นตัวกำหนดอนาคตของกิจการ หรือความอยู่รอดของคู่สัญญาได้เลยทีเดียว
ศาล: ระบบดั้งเดิมที่คุ้นเคย
สำหรับประเทศไทย การใช้ศาลยังคงเป็นช่องทางหลักในการระงับข้อพิพาท ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งเรื่องความชัดเจนของขั้นตอนทางกฎหมาย ต้นทุนที่ต่ำกว่ากระบวนการทางเลือก และการมีเจ้าหน้าที่รัฐคอยบังคับคดีโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการอายัดทรัพย์หรือการบังคับจ่ายหนี้
อย่างไรก็ตาม กระบวนการพิจารณาคดีในศาลมักใช้เวลานาน ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนของศาลชั้นต้น อุทธรณ์ หรือฎีกา อีกทั้งกระบวนการส่วนใหญ่เป็นการพิจารณาแบบเปิดเผย ซึ่งอาจไม่เหมาะกับข้อพิพาทที่มีข้อมูลภายในบริษัทหรือความลับทางธุรกิจเป็นสาระสำคัญ
นอกจากนี้ ในคดีที่เกี่ยวข้องกับความรู้เฉพาะทาง เช่น โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ วิศวกรรมขั้นสูง หรือธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ผู้พิพากษาอาจไม่มีความชำนาญเฉพาะด้านเท่าที่ควร
อนุญาโตตุลาการ: ทางเลือกที่ยืดหยุ่นและเป็นสากล
ในทางตรงกันข้าม การใช้อนุญาโตตุลาการมีจุดเด่นในเรื่องความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น และความสามารถในการรักษาความลับของคู่กรณี ที่สำคัญ หากเป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการยังสามารถบังคับใช้ได้ในประเทศภาคีของอนุสัญญานิวยอร์ก ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 170 ประเทศทั่วโลก
ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยจึงเลือกใช้อนุญาโตตุลาการเมื่อทำสัญญากับคู่ค้าต่างชาติ หรือในธุรกิจที่มีประเด็นเชิงเทคนิค เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี โทรคมนาคม และเทคโนโลยีขั้นสูง เพราะสามารถเลือกผู้ชี้ขาดที่มีความรู้ความเข้าใจเฉพาะด้านได้โดยตรง
นอกจากนี้ การใช้อนุญาโตตุลาการ หรือ arbitration โดยเฉพาะในการค้าระหว่างประเทศ มีจุดแข็งที่แตกต่างชัดเจน เช่น ความรวดเร็วและความลับ – กระบวนการพิจารณาโดยอนุญาโตฯ มักมีกรอบเวลาที่สั้นกว่า และไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ อีกทั้งสามารถเลือกผู้ตัดสินได้เอง โดยข้อตกลงของคู่สัญญาระบุว่าให้เลือกผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการได้ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้าง พลังงาน หรือเทคโนโลยี จึงเหมาะกับข้อพิพาทระหว่างประเทศ เพราะมีระบบรองรับการบังคับตามคำชี้ขาดระหว่างประเทศ (เช่น อนุสัญญานิวยอร์ก ค.ศ. 1958 ที่ไทยก็เป็นภาคี)
แต่ข้อเสียที่ควรคำนึงถึงก็คือ ค่าใช้จ่ายที่สูง และการที่ไม่สามารถอุทธรณ์คำชี้ขาดได้ในทางปกติ ทำให้หากเกิดการตัดสินที่ผิดพลาดหรือมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน ก็ยากที่จะแก้ไขได้
บริบทของประเทศไทย: ยังต้องอาศัยศาลในการบังคับใช้
แม้ประเทศไทยจะเป็นภาคีของอนุสัญญานิวยอร์กมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 และมีกฎหมายรองรับกระบวนการอนุญาโตตุลาการโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ การบังคับใช้คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการยังต้องผ่านกระบวนการศาล ทำให้สูญเสียข้อได้เปรียบด้านความรวดเร็วบางส่วน
หากพิจารณาจากพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 แล้ว พบว่า หากคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ อีกฝ่ายสามารถยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง (หรือศาลที่มีเขตอำนาจ) เพื่อให้ศาลมีคำสั่ง “รับรองและบังคับตามคำชี้ขาด” ได้ โดยที่หากเป็น คำชี้ขาดในประเทศไทย ให้ยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 3 ปีนับแต่วันที่มีคำชี้ขาด ขณะที่หากเป็น คำชี้ขาดในต่างประเทศ ต้องเป็นคำชี้ขาดจากประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญานิวยอร์ก (New York Convention 1958) ซึ่งไทยก็เป็นภาคีด้วย
แม้กฎหมายกำหนดให้ศาลต้องรับรองและบังคับคำชี้ขาด เว้นแต่ มีเหตุที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ในทางปฏิบัติ ศาลจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและขั้นตอน ว่าคำชี้ขาดนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เช่น อนุญาโตตุลาการมีเขตอำนาจหรือไม่ คู่กรณีได้รับโอกาสในการสู้คดีหรือไม่ มีการฝ่าฝืนความสงบเรียบร้อยหรือไม่
แน่นอนว่า หากศาลเห็นว่า ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน เช่น ฝ่าฝืนกฎหมายแรงงาน หรือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ศาลอาจไม่รับรองคำชี้ขาด
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงในการคัดค้านด้วย นั่นคือ แม้อนุญาโตตุลาการจะจบเรื่องในตัว แต่ในบางกรณี ฝ่ายแพ้อาจใช้การคัดค้านในศาลเป็น “เครื่องมือ” เพื่อยื้อเวลา เช่น โต้แย้งว่าไม่ได้รับการแจ้งนัดหมายที่เหมาะสม, กล่าวหาเรื่องอคติของอนุญาโตตุลาการม, อ้างว่าอนุญาโตฯ ตัดสินเกินกว่าที่มีเขตอำนาจ เป็นต้น
ในต่างประเทศเป็นอย่างไร?
ในประเทศที่ส่งเสริมอนุญาโตตุลาการอย่างเข้มแข็ง เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง อังกฤษ ฝรั่งเศส ศาลจะ ไม่เข้าแทรกแซงคำวินิจฉัยของอนุญาโตฯ โดยง่ายศาลมักจะรับรองและบังคับได้รวดเร็ว เว้นแต่มีกรณีร้ายแรงจริง ๆ เช่น หลอกลวง หรือกระบวนการไม่เป็นธรรม
ในประเทศที่ส่งเสริมอนุญาโตตุลาการอย่างเข้มแข็งอย่างอังกฤษ สิงคโปร์ ฝรั่งเศส หรือฮ่องกง ระบบศาลมีแนวนโยบาย “ไม่แทรกแซงคำวินิจฉัยของอนุญาโตฯ” หากไม่มีเหตุร้ายแรง เช่น การฉ้อโกง หลอกลวง หรือการละเมิดขั้นตอนที่สำคัญ ศาลจะรีบรับรองและบังคับให้โดยเร็ว ซึ่งทำให้อนุญาโตตุลาการเป็นเครื่องมือที่เชื่อถือได้ในทางปฏิบัติ กลับกัน ในบางประเทศที่ยังไม่มีการบังคับใช้อนุสัญญานิวยอร์ก หรือมีระบบศาลที่แทรกแซงได้มาก อนุญาโตตุลาการก็อาจไม่ใช่ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพเสมอไป
ไกรวัล