ภาษีธุรกิจเฉพาะ เข้าใจง่ายใน 5 นาที!
ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นชื่อที่หลายคนอาจจะได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่กลับไม่รู้ว่าธุรกิจของตัวเองเข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษีนี้หรือไม่ เพราะภาษีประเภทนี้เป็น “ภาษีทางอ้อม” ที่เจ้าของกิจการบางกลุ่มต้องเสียแทนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีกฎเกณฑ์เฉพาะของมันที่แตกต่างจากภาษีทั่วไปอย่างชัดเจน
“ภาษีธุรกิจเฉพาะ” (Specific Business Tax หรือ SBT) ถูกออกแบบมาเพื่อจัดเก็บจากธุรกิจที่มีลักษณะพิเศษที่ไม่สามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามปกติ โดยกลุ่มธุรกิจหลักและกิจกรรมที่ต้องเสียภาษีนี้ ได้แก่ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์, ธุรกิจเงินให้กู้ยืม, ธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจขายหลักทรัพย์, ธุรกิจประกอบกิจการโรงแรมที่มีรายได้จากค่าเช่าห้องพัก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการให้กู้ยืมเงินของบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (ให้กู้ยืมเงินเป็นครั้งคราว ไม่ได้ให้กู้ยืมเงินเป็นประจำ) ที่เข้าข่ายเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในส่วนของดอกเบี้ยรับจากการให้กู้เงินด้วย
หลายคนมักเข้าใจว่าแค่ “ขายบ้าน” หรือ “ให้เช่าห้อง” ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ความจริงแล้ว หากเข้าข่ายว่าเป็นการ “ดำเนินธุรกิจ” เช่น การขายบ้านหลายหลังเป็นประจำ หรือให้เช่าแบบมีระบบ การเก็บรายได้รายเดือนสม่ำเสมอ ก็อาจเข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะได้เลยครับ
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าภาษีธุรกิจเฉพาะจะเรียกเก็บจากธุรกิจบางประเภทเท่านั้นโดยเฉพาะธุรกิจที่ไม่เหมาะจะเสียภาษีในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งแน่นอนว่าหากรายการใดอยู่ในบังคับต้องเสีย SBT ก็จะไม่อยู่ในบังคับต้องเสีย VAT
อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ แบ่งตามประเภทธุรกิจ
หนึ่งในจุดที่ผมเห็นว่าเนื้อหาจากทุกแหล่งเห็นพ้องกันอย่างชัดเจน ก็คือ อัตราภาษีของแต่ละกิจการจะแตกต่างกัน เช่น
– ขายอสังหาริมทรัพย์: 3.3% ของรายรับรวม
– ธุรกิจโรงแรม (รายได้จากค่าเช่าห้อง): 3%
– ธุรกิจให้กู้ยืม เช่น ธนาคารพาณิชย์: 3% (บางกรณีมีอัตราลดหย่อนได้)
– ธุรกิจหลักทรัพย์: 0.1% ถึง 0.6% ขึ้นอยู่กับประเภท
– ในบางกรณี เช่น ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมที่บริษัทให้กู้ยืมเงินแก่ผู้อื่น (ทำเป็นครั้งคราว เช่น ให้กรรมการกู้ยืม, ให้บริษัทอื่นที่ไม่ได้เป็นเครือเดียวกันกู้ยืม) จะเข้าข่ายประเภทการประกอบกิจการเยี่ยง ธนาคารพาณิชย์ ในลักษณะเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ อาจถูกเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะตามความเห็นของสรรพากร 3.3% (3% รวมกับค่าภาษีท้องถิ่น กลายเป็น 3.3%)
สรรพากรใช้หลัก “ลักษณะกิจการจริง” เป็นตัววินิจฉัย
เรื่องที่น่าสนใจอีกประเด็นคือ การพิจารณาว่าธุรกิจใดเข้าข่ายเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ไม่ได้ดูแค่จากทะเบียนพาณิชย์หรือรูปแบบการจดบริษัทเท่านั้น แต่กรมสรรพากรจะดู “ลักษณะการดำเนินธุรกิจจริง” เป็นหลัก เช่น หากบุคคลธรรมดาขายคอนโดปีละหลายห้อง มีการลงโฆษณาในเว็บไซต์ มีการรับจอง มัดจำ นั่นคือสัญญาณที่สรรพากรอาจมองว่าเป็นธุรกิจแล้วครับ
ขอคืนภาษีธุรกิจเฉพาะ ทำได้หรือไม่?
ภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นภาษีที่จัดเก็บจากรายรับ ไม่ใช่กำไรสุทธิของกิจการ ดังนั้นแม้ธุรกิจจะขาดทุน ก็ยังมีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากยอดรายรับทั้งหมด และภาษีที่เสียไปในลักษณะนี้จะ “ไม่สามารถขอคืนได้” ครับ เพราะไม่ใช่ภาษีที่สามารถหักออกหรือเครดิตได้เหมือนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างไรก็ตาม หากมีการ “ชำระเกิน” จากยอดที่ควรเสีย หรือถูก “หักภาษีโดยไม่มีหน้าที่ต้องเสีย” เช่น ไม่เข้าข่ายกิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ถูกตีความผิด ก็สามารถขอคืนได้ โดยยื่นคำร้องภายใน 3 ปี นับจากวันครบกำหนดยื่นภาษี พร้อมแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนครับ
กล่าวโดยสรุป
ภาษีธุรกิจเฉพาะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนคิด และไม่ได้จำกัดแค่ธนาคารหรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงธุรกิจเงินทุน กิจกรรมปล่อยกู้ และแม้แต่กิจการที่ดำเนิน “เยี่ยงธนาคารพาณิชย์” ก็อาจถูกจัดเข้าเกณฑ์ได้ หากไม่ได้ระมัดระวังเรื่องโครงสร้างธุรกิจและรูปแบบรายได้ตั้งแต่ต้น
สิ่งสำคัญคือ ผู้ประกอบการควรรู้ว่า รายได้แบบใดบ้างที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เพื่อจะได้วางแผนภาษีและการเงินให้เหมาะสม เพราะภาษีนี้จัดเก็บจาก “รายรับทั้งก้อน” โดยไม่สนใจว่ากำไรหรือขาดทุน และยังไม่สามารถนำไปเครดิตหรือขอคืนได้ในกรณีทั่วไปด้วยครับ หากกำลังประกอบกิจการในลักษณะข้างต้น แนะนำให้ตรวจสอบว่าเข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่ และควรเตรียมการทั้งด้านภาษีและบัญชีให้ชัดเจนครับ เพราะการไม่รู้ อาจกลายเป็นต้นทุนที่ตามมาแพงกว่าที่คิด
ไกรวัล